พระกริ่ง-พระชัยวัฒน์

พระกริ่ง-พระชัยวัฒน์(1) ยอดนิยมนักสะสมชื่นชอบ

มุมพระเก่า
เอกอุ



ปัจจุบันวัตถุมงคลประเภท "พระกริ่งและพระชัยวัฒน์" กำลังได้รับความนิยมจากนักสะสมอย่างมาก พระเกจิอาจารย์นิยมจัดสร้าง มอบให้กับลูกศิษย์ลูกหา โดยเฉพาะ พระกริ่งจีนใหญ่, พระ กริ่งปวเรศ วัดบวรนิเวศวิหาร พระกริ่งสายวัดสุทัศนเทพวราราม กรุงเทพฯ โด่งดังมาก นอกจากนั้น ยังมีของวัดอื่นๆ จัดสร้างอีกจำนวนมาก ลองไล่เรียงกันดู

ต้นกำเนิดของ "พระกริ่ง" นั้นอยู่ที่ใด จะขออธิบายพอสังเขป เป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้วสำหรับพระกริ่ง แต่จริงๆ แล้ว พระกริ่งใหญ่ นั้นมีถิ่นกำเนิดอยู่ ณ มณฑลซัวไซ ประเทศจีน ในราวสมัยราชวงศ์ถัง เป็นที่นิยมอย่างมากในจีนต่อมา ขยายไปยังเขมร และเข้ามาสู่ประเทศไทย เมื่อครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยานับถึงปัจจุบันก็มีอายุกว่าพันปีขึ้นไปทีเดียว ซึ่งได้รับยกย่องให้เป็นยอดพระกริ่งชั้นนำอันดับหนึ่งของพระกริ่งนอกทั้งหมด และหาดูได้ยากมาก

พระกริ่งใหญ่ เป็นพระเนื้อโลหะสำริดสีทองดอกบวบ ผิวสนิมหุ้มออกเป็นสีมันเทศหรือน้ำตาลแก่ ก้นปิดเป็นแอ่งแบบกระทะด้วย เนื้อโลหะที่ค่อนข้างแก่ทองเหลือง เขย่าแล้วเกิดเสียงดังกังวาน บางองค์ก้นกลวงโดยไม่ปิดก็มีหล่อแบบลอยองค์ สร้างเป็นองค์ "พระไภษัชยคุรุ" ในลัทธิมหายาน โดยใช้แม่พิมพ์แบบ "พิมพ์ประกับ หรือ พิมพ์ประกบ" คือมีแม่พิมพ์ 2 ชิ้น เป็นพิมพ์ประกบด้านหน้าและด้านหลัง ดังนั้น จึงปรากฏตำหนิเป็นรอยตะเข็บที่ด้านข้างขององค์พระทุกองค์มากน้อยต่างกันไป และจากพุทธลักษณะที่ใหญ่อวบขององค์พระ จึงให้ชื่อพระกริ่งนี้ว่า "พระกริ่งใหญ่" เมื่อสังเกตพระพักตร์หรือพระเนตรแล้ว จะสามารถชี้ชัดได้ว่าเป็นศิลปะที่เกิดจากสกุลช่างจีนบริสุทธิ์จริงๆ



เมื่อพิจารณาดู "พระกริ่งใหญ่" แล้วจะเกิดความรู้สึกอิ่มเอิบเยือกเย็น ให้ความบันดาลใจอย่างเป็นสุขได้อย่างน่าอัศจรรย์ กอปรกับพุทธคุณที่เพียบพร้อมในทุกๆ ด้าน ทั้งป้องกันภูตผีปีศาจ แช่น้ำมนต์รักษาโรค เป็นต้น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ แห่งวัดบวรนิเวศวิหาร และสมเด็จพระสังฆราชแพ วัดสุทัศนเทพวราราม จึงได้จำลองแบบอย่างไปสร้าง จึงถือได้ว่า "พระกริ่งใหญ่" นี้ เป็นต้นแบบในการสร้างพระกริ่งในสยามประเทศ

พุทธลักษณะของพระกริ่งใหญ่ องค์พระประทับนั่ง แสดงปางมารวิชัย บนฐานกลีบบัวซ้อนสองชั้น ชั้นละ 7 กลีบ พระหัตถ์ขวา วางพาดบนพระเพลา พระหัตถ์ซ้ายทรงวชิราวุธ พระเศียรค่อนข้างใหญ่ ด้านหลัง แบนราบ กว่าด้านหน้ามาก พระเกศเป็นแบบมุ่นเมาลี 3 ชั้น ด้านหน้าระหว่างพระเมาลีชั้นล่างสุดและชั้นที่ 2 ประดับแซมด้วยรูปพระจันทร์ครึ่งซีก เม็ดพระศกเป็นตุ่มนูน เว้นช่องอย่างสม่ำเสมอ แสดงถึงความละเอียดประณีตในการสร้าง มีทั้งหมด 14 เม็ด ไม่มีซ้ำหรือแซม อันเป็นเอกลักษณ์สำคัญประการหนึ่ง กรอบไรพระศกยกสูงกว่าพระนลาฏมากเป็นพิเศษ

พระเนตรตอกเป็นเส้นลึก เฉียงขึ้นด้านบนเล็กน้อย ที่เรียกว่า "ตาจีน" พระนาสิกโด่งเป็นสัน ตรงปลายขยายบาน พระโอษฐ์เป็นเส้นโค้งด้านบนกว้างกว่าด้านล่าง มุมปากทั้งสองตอกลึกลงไป วงพระพักตร์อิ่มอวบอูม ลักษณะคล้ายรูปสี่เหลี่ยมมน พระหนุจะเห็นอยู่ในที พระกรขวาสั้นกว่าข้างซ้ายและไม่ติดพระอังสา ส่วนด้านซ้ายจรดพระอังสาพอดี พระอังสา 2 ข้างลาดมนกลมกลืน พระอุระอวบอูมและวาดเข้าหาพระกัจฉะเป็นเส้นสัน ฐานผ้าทิพย์ด้านหน้าพระเพลาแบนราบแลดูพลิ้วอยู่ในที เส้นชายจีวรและสังฆาฏิตลอดจนเส้น อาสนะเหนือฐานบัวด้านหน้า เป็นเม็ดไข่ปลานูนกลมละเอียดงดงาม สัณฐานบัวเป็นรูปสี่เหลี่ยมแบบบัวจีน ส่วนเม็ดบัวเป็นตุ่มกลมนูน ร่องบัวทั้งสองเป็นร่องลึก

จุดตำหนิพระกริ่งใหญ่มีดังนี้ 1.พระเกตุตุ้ม ตั้งไม่ได้ศูนย์ มักจะเอนซ้าย 2.เม็ดพระศก ตอกตุ๊ดตู่ในตัว 3.ร่อง คิ้วลึกวาดลงมาเป็นพระนาสิก เนื้อเป็นปื้นแบบตางิ้ว 4.เส้นขอบจีวรเม็ดเป็นเหลี่ยมตอกมาแต่เดิม 5.กลีบบัวตรงกลางจะเอียงไปทางขวาเล็กน้อย 6.ก้นปิดด้วยแผ่นโลหะ เป็นแอ่งกระทะจะเห็นรอยเชื่อมอย่างชัดเจน 7.นิ้วชี้เป็นนิ้วที่เล็กที่สุด 8.ใต้พระนาสิกจะเป็นร่องลึกปากเป็นรูปกระจับ 9.หน้าผากเปิดกว้างมาก

เรื่องพุทธคุณโดดเด่นในเรื่องสยบสิ่งอัปมงคลศัตรูหมู่มาร ลบล้างปัดเป่าเสนียดจัญไร ทำน้ำมนต์อาบดื่มกิน เรื่องราคานั้นอยู่ที่ความพอใจระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย เพราะต้องดูที่สภาพ ความสวย ความคมชัด ดูง่าย

พระกริ่งใหญ่นั้นเป็นที่ต้องการมากสำหรับบุคคลทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน ซึ่งอะไรก็ตามที่มีความต้องการมาก ก็ย่อมมีของปลอม ของเลียนแบบ ของเก๊ตามมาอย่างแน่นอน ฉะนั้น ทุกท่านที่อยากเก็บสะสม ควรหาผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ชำนาญ

ก่อนจะตัดสินใจเช่าหาบูชา!!!


พระกริ่ง-พระชัยวัฒน์(2) ยอดนิยมนักสะสมชื่นชอบ


พระกริ่งปวเรศ วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ ปัจจุบันหาชมได้ยาก ที่มีอยู่และเป็นที่ยอมรับเพียงไม่กี่องค์เท่านั้น "พระกริ่งปวเรศ" เป็นต้นกำเนิดของพระกริ่งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ได้สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 สร้างโดยองค์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ วัดบวรนิเวศวิหาร ที่สร้างขึ้นเพื่อประทานแก่เจ้านายในวังที่สนิทคุ้นเคย หรือที่ท่านเคยเป็นพระครูอุปัชฌาย์ให้มาก่อน และสร้างไว้เป็นจำนวนที่ไม่มากนัก

ตามประวัติที่กล่าวไว้ว่า ท่านได้สร้างไว้รวมทั้งหมดไม่น่าจะเกิน 3 ครั้ง และรวมทั้งสิ้นแล้วมีเพียง 30 กว่าองค์ โดยสร้างตามตำราที่ตกทอดมาจากสมเด็จพนรัต วัดป่าแก้วในสมัยอยุธยา ซึ่งเป็นอาจารย์ขององค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และเป็นพระกริ่งที่สร้างขึ้น มีศิลปะแบบพระกริ่งของจีน ตามแบบคตินิยมของลัทธิมหายาน ซึ่งหมายถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า "พระพุทธองค์ไภษัชยคุรุพุทธ" ได้เสด็จโปรดช่วยเหลือมนุษย์โลกในครั้งที่เกิดกลียุค พวกหมู่อมุษย์ออกมารบกวนรังควาน เกิดมีโรคภัยไข้เจ็บ ลักษณะเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ถือหม้อบาตรน้ำมนต์ มีประคำเป็นสังวาลย์ ทรงประทับนั่งอยู่บนฐานบัว 2 ชั้น เป็นบัวแบบบัวปาละ (ศิลปะแบบอินเดีย) โดยมีดอกบัวอีกคู่หนึ่งอยู่ทางด้านหลัง และจะมีโค้ดเม็ดงาตอกเป็นสัญลักษณ์ อยู่ใกล้กันกับบัวคู่หลังนี้ทุกองค์ เป็นพระที่หล่อแบบโบราณก้นจะกลวง และฝังใส่เม็ดกริ่งไว้ แล้วก็อุดปะที่ใต้ฐานด้วยแผ่นเงิน, แผ่นทองแดง และแผ่นทองเหลือง แต่ต่อมาภายหลังบางองค์กริ่งไม่เดิน (เขย่าไม่ดัง มีสนิมขึ้น) อาจมีการเจาะที่สะโพกเพื่อใส่เม็ดกริ่งเพิ่มเข้าไปใหม่ก็มี อย่างที่เห็นเป็นรอยอุดเก่าในพระองค์นี้



ส่วนมากที่พบเห็นนั้น จะเป็นพระที่มีกระ แสเนื้อนวโลหะ หรือเป็นเนื้อสำริดแก่เงินกลับดำ ตามประวัติกล่าวไว้ว่า มีส่วนผสมจากแกนชนวนที่หลงเหลือจากการเทหล่อ หลวงพ่อพระพุทธชินราช และหลวงพ่อพระพุทธชินสีห์ ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ (วัดใหญ่) จ.พิษณุโลก แล้วนำมาหลอมผสมร่วมด้วยกับนวโลหะ (โลหะทั้งเก้า) อันเป็นสูตรตามตำราโบราณที่ตกทอดมา และอาจจะมีการนำมาแต่งในภายหลัง โดยศิลปะของช่างหลวง ซึ่งแต่งได้ประณีตมาก จะมองเห็นเม็ดพระศกแต่งโดยตอกด้วยตัวตุ๊ดตู่ มีลักษณะเป็นวงกลมนูนขึ้นมาเล็กน้อย เป็นวงที่ซ้อนกันในบางจุด และมองเห็นตามร่องพระเนตร พระนาสิก พระโอษฐ์ พระหัตถ์ หรือตามกลีบบัว จะมีร่องรอยการเซาะแต่งเก่า เพื่อความคมชัดของพิมพ์ทรง ในองค์นี้มีการแต่งขอบจีวรให้มีลักษณะแบบลูกประคำ เป็นสร้อยสังวาลย์ หรือในบางองค์อาจปล่อยไว้ แค่เพียงเป็นเส้นขอบจีวรก็มี ซึ่งลักษณะของการแต่งในแต่ละองค์ อาจจะมีแตกต่างกันไป แต่เค้าโครงพระจากแม่พิมพ์เดิม ก็จะยังอยู่ให้เห็น



และที่สำคัญก็คือ "พระกริ่งปวเรศ" เป็นพระหล่อโบราณ แต่หล่อโดยช่างหลวงที่มีฝีมือประณีตมาก สามารถไล่อากาศออกได้ดี จึงทำให้เนื้อพระเนียนและแน่นมาก หล่อด้วยกรรมวิธีเทหยอดโลหะในทางก้นฐาน แต่จะไม่มีรอยตะเข็บ และไม่มีรอยช่อเดือยให้เห็น ลักษณะของพระ กรรณจะเหมือนกับใบหูจริง (เป็นศิลปะแบบเดียว กันกับพระกริ่งจีนใหญ่) และถึงแม้ว่าจะเป็นพระแต่ง แต่ก็จะแต่งในบางจุดเท่านั้น ดังนั้น คราบเบ้าผิวไฟ หรือคราบดินเก่าจากเบ้าแม่พิมพ์ ก็จะยังคงหลงเหลือพอติดอยู่ให้เห็นตามผิว (ถ้าพระไม่ผ่านการล้างมาอย่างหนัก)

ส่วนการพิจารณาธรรมชาติของผิวกับเนื้อนั้น จะมีผิวที่ขึ้นดำกลับมัน (แต่จะแห้งจัดจนหมดประกาย) ส่วนการหดตัวของเนื้อจะเป็นลายที่หดตัวละเอียดยิบ และจะมีสนิมขึ้นกินได้น้อยไม่หนามาก เพราะผสมโลหะจนได้สูตร อย่างที่เห็นตามผิวของพระองค์นี้ จะมีสนิมเงินที่เป็นสีดำขึ้นจับกินขุม ดูติดกลืนเป็นผิวเดียวกันกับเนื้อ และมี "สนิมหยก" ที่ถูกขับออกมา อมติดอยู่กับผิวอีกชั้น แต่ถ้าสังเกตในบางที่จะค่อยๆ เริ่มกลายเป็นสนิมคราม ซึ่งจะมีขึ้นก็เพียงเล็กน้อย ไล้อยู่ตามผิวชั้นนอกให้เห็นในบางจุดเท่านั้น

พระกริ่ง-พระชัยวัฒน์(3) ยอดนิยมนักสะสมชื่นชอบ

คอลัมน์ มุมพระเก่า
อภิญญา



"พระกริ่งปวเรศ" เป็นของสูงค่าอมตะ เป็นพระกริ่งองค์แรกที่กำเนิดในแผ่นดินไทย โดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวิริยาลงกรณ์ พระสังฆราชเจ้าแห่งวัดบวรนิเวศวิหาร ทรงดำริสร้างเพื่อไว้ประทานแก่เชื้อพระวงศ์ หรือผู้ที่เห็นสมควรเท่านั้น

พระกริ่งปวเรศ ทรงไว้ซึ่งพุทธศิลป์และความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งมีจำนวนน้อย เมื่อค้นคว้าสอบถามผู้รู้เก่าๆ ก็ไม่มีผู้ใดรู้จริง แม้จดหมายเหตุส่วนตัวของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวิริยาลงกรณ์ ก็มิได้ระบุบอกถึงจำนวนที่สร้าง หรือรายละเอียดพระนาม และนามของผู้ที่ได้รับพระกริ่งปวเรศนั้นไป แม้จะลือกันว่าส่วนใหญ่ตกอยู่กับเชื้อพระวงศ์ คนทั่วไปคงจะเห็นแค่รูปภาพและเรื่องราวเป็นตำนานเท่านั้น เพียงเท่านี้ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ลึกลับดำมืดพอสมควรอยู่แล้ว

พระกริ่งปวเรศองค์ที่เป็นของจริงนั้น ก็คือองค์ต้นแบบที่ประดิษฐานอยู่ในเก๋งกระเบื้องดินเผาจีนที่อยู่ใน พิพิธภัณฑ์วัดบวรนิเวศ เวลามีงานใหญ่จริงๆ ถึงจะได้ชม แถมอยู่ไกลและอยู่ในเก๋งทำให้แทบจะพิจารณาให้ละเอียดไม่ได้ แม้ภายหลังจะมีนิตยสารพระเครื่องได้รูปมาถ่ายทอดให้ชมก็นึกขอบคุณ ด้วยหาดูได้ยาก



กรมหลวงวชิรญาณวงศ์แห่งวัดบวรฯ เคยมีดำรัสถึงเรื่องพระกริ่ง ปวเรศนี้ว่า "เท่าที่ฉันได้ยินมานั้น สมเด็จกรมพระยาปวเรศฯ ท่านทรงสร้างขึ้นด้วยพระองค์เอง มีจำนวนน้อยมากน่าจะไม่เกิน 30 องค์ ต่อมาได้ประทานให้หลวงชำนาญเลขา(หุ่น) ผู้ใกล้ชิดพระองค์นำไปจัดสร้างขึ้นอีกจำนวนหนึ่ง แต่หลวงชำนาญฯ เอาไปเทนั้น จะมากน้อยเท่าใด ฉันไม่ได้ยินเขาเล่ากัน"

การสร้างพระกริ่งปวเรศของสมเด็จกรมพระยาปวเรศฯ นั้น น่าจะเนื่องจากว่าท่านได้รับการถวายพระกริ่งที่เรียกกันว่า "กริ่งปทุมสุริวงศ์" พร้อมตำราการสร้างพระกริ่งและตำรามงคลโลหะ ที่มีมาแต่โบราณสืบค้นได้ถึงสมัยสมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้ว ทรงเห็นว่าพระกริ่งนั้นดีมีมงคล หากจะสร้างขึ้นตามตำรา แต่ดัดแปลงพุทธลักษณะที่คล้ายเทวรูปในคตินิยมแบบมหายาน ให้มีพุทธลักษณะคตินิยมแบบหินยานก็น่าจะมีเอกลักษณ์ดี

อีกทั้งเมื่อมีการขยับพระพุทธชินสีห์คราวสร้างฐานชุกชีนั้น พบว่าที่มีเนื้อฐานพระพุทธชินสีห์ชำรุดจึงโปรดให้ช่างตัดแต่งให้งามดุจเดิม และเนื้อฐานพระพุทธชินสีห์นั้นเองละกระมังที่เป็นแรงบันดาลใจ เมื่อทรงได้ตำราสร้างพระกริ่งและตำราโลหะมงคลมา จึงได้นำโลหะที่เหลือจากการแต่งฐานพระ พุทธชินสีห์มาใช้ เพราะนานไปเศษโลหะนั้นจะไม่มีผู้รู้ค่าว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์จะถูกทิ้งเสีย เปล่า

พระองศ์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล ได้ทรงดำรัสถึงเรื่องพระต้นแบบพระกริ่งปวเรศเป็นความว่า "ฉันเห็นหม้อน้ำมนต์ของวัดบวรนิเวศวิหาร ฉันได้เอาแว่นขยายส่องดู จึงแน่ใจว่าเป็นพระกริ่งใหญ่(พระกริ่งจีน) หรือที่เรียกกันว่าปทุมสุริวงศ์ อันน่าจะได้รับถวายมาจากราชวงศ์นโรดมกัมพูชา" สำหรับพระกริ่งใหญ่หรือพระกริ่งปทุมสุริวงศ์นี้ เป็นพระกริ่งของจีนโบราณสมัยหมิง ได้แพร่หลายเข้ามานานแล้ว แต่ที่พบจะมาพร้อมพระกริ่งบาเก็ง ซึ่งเป็นศิลปะสกุลช่างจีนเช่นเดียวกันแต่พบที่ปราสาทบาแคงที่ตั้งอยู่ใน เทือกเขาพนมบาแคง

พระกริ่งปวเรศนั้นเป็นพระกริ่งที่สร้างหล่อทีละองค์ แบบเบ้าดินเผาแบบประกบ เมื่อเทเสร็จจะต้องนำมาเกลาแต่งใหม่ทั้งองค์ และทุกองค์มีการอุดก้นด้วยแผ่นทองแดงและทองฝาบาตรประสานด้วยเงินสำหรับโค้ด ลับเม็ดงานั้น ได้มีการตอกไว้จริงแต่ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเดียวกันทุกองค์ จะถือการตอกผิดตำแหน่งเป็นของปลอมก็มิสมควร ต้องพิจารณาให้ละเอียด

พระกริ่งปวเรศ เป็นพระกริ่งที่หายากสุดๆ และมีราคาเช่าบูชากันหลักหลายๆ ล้าน จนถึงสิบกว่าล้าน มีความเชื่อกันว่า ผู้ใดได้มีอยู่ในความครอบครองผู้นั้นจะดีนอกดีในทุกประการ ดีใน คือ เป็นผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ อายุยืน ดีนอก คือ จะเป็นคนที่มีชื่อเสียง มีตำแหน่งหน้าที่การงาน ใหญ่โต และจะเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งหน้าที่การงานตลอดเวลา

ที่สำคัญจะเป็นผู้ที่อุดมไปด้วยความมั่งคั่ง ความสมบูรณ์เป็นเศรษฐีตลอดกาล
  
พระกริ่ง-พระชัยวัฒน์ (4) ยอดนิยมนักสะสมชื่นชอบ
คอลัมน์ มุมพระเก่า
อภิญญา



วัตถุมงคล "พระกริ่ง" เป็นพระเครื่องประเภท "เนื้อโลหะ" ประเภทหนึ่งที่มีเสน่ห์และมนต์ขลังอยู่ในตัวเอง เพราะเริ่มตั้งแต่กรรมวิธีในการสร้างนั้นมีการเตรียมงานและการทำงานที่สลับ ซับซ้อนและยุ่งยากมิใช่น้อย นับตั้งแต่เริ่มการลงแผ่นยันต์ให้ครบตามจำนวนของสูตรในการสร้าง และการลงแผ่นยันต์นั้นต้องมีการหาฤกษ์ผานาทีที่ดี สูตรการผสมเนื้อโลหะที่ถูกต้อง ต้องหาฤกษ์ในการพิธีเททอง ที่ขาดไม่ได้คือ "พิธีพุทธาภิเษก" ในการประจุพลัง พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เข้าใส่องค์พระ เป็นต้น

เมื่อเอ่ยถึงในบรรดา "พระกริ่งของเมืองไทย" แล้ว บรรดานักสะสมพระเครื่องยกย่องให้ "พระกริ่งสายสำนักวัดสุทัศนเทพวราราม (เสาชิงช้า)" เป็นแหล่งต้นกำเนิดพระกริ่งที่ได้มาตรฐานและชื่อเสียงอันโด่งดัง เป็นที่ยอมรับของผู้คนทั่วไป นับตั้งแต่ในอดีตตราบจนถึงปัจจุบัน โดยมี "สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทวมหาเถร)" เป็นผู้สร้างพระกริ่งตามสูตรโบราณอันถูกต้องทุกประการ และมีลูกศิษย์เอกของสมเด็จพระสังฆราชคือ "พระศรีสัจจญาณมุนี (สนธิ์)" เป็นแม่งานในการจัดสร้าง

พระกริ่งวัดสุทัศน์ ที่สร้างในสมเด็จพระสังฆราชแพ มีด้วยกันหลายรุ่น ซึ่งโดยส่วนมากในแต่ละครั้งที่สร้างนั้น สมเด็จพระสังฆราชท่านก็จะสร้างขึ้นตามกำลังวัน เช่น วันอาทิตย์มีกำลัง 6 วันจันทร์มีกำลัง 15 วันอังคารมีกำลัง 8 วันพุธมีกำลัง 17 วันพฤหัสบดีมีกำลัง 19 วันศุกร์มีกำลัง 21 และวันเสาร์มีกำลัง 10 เป็นต้น โดยแบ่งเรียกเป็นชื่อรุ่นต่างๆ ตามประวัติการสร้าง

อาทิ พระกริ่งเทพโมลี แบ่งออกเป็นสองรุ่น คือรุ่นแรกจะมีตอกโค้ดเป็นตัวเลข และรุ่น 2 ไม่มีตอกโค้ด ซึ่งได้สร้างขึ้นในสมัยเป็นพระเทพโมลี ปี 2441-2442 พระกริ่งรุ่นธรรมโกษาจารย์ สร้างปี 2443-2454 พระกริ่งพรหมมุนี มีสร้างออกมาหลายรุ่นหลายคราว สร้างตั้งแต่ปี 2455-2465 พระกริ่งเขมรน้อย สร้างปี 2458 พระกริ่งรุ่นศิษย์ถวายสำรับ สร้างปี 2458 พระกริ่งพระยาศุภกร สร้างปี 2460 พระกริ่งเจ้าคุณทิพย์โกษา สร้างปี 2460 พระกริ่งรุ่นพุฒาจารย์ สร้างปี 2466-2471 พระกริ่งรุ่นวันรัต สร้างปี 2472 พระกริ่งปี 2478 เป็นพิมพ์ที่ดัดแปลงมาจากพระกริ่งปวเรศ วัดบวรวิหาร โดยต่างกันที่ไม่มีบัวคู่ข้างหลัง

พระกริ่งปี 2479 เป็นกริ่งที่สร้างออกมามากถึง 464 องค์ พระกริ่งหน้าอินเดีย สร้างปี 2482 พระกริ่งประภามณฑลวัดดอน สร้างปี 2480 ที่วัดดอนยานนาวา พระกริ่งหน้าไทย สร้างปี 2482 พระกริ่งปี 2483 พระกริ่งวัดกลางสร้างปี 2483 ที่วัดกลางวรวิหาร พระกริ่งรุ่นบรรจุสุพรรณบัฏ สร้างปี 2483 พระกริ่งวัดช้าง สร้างปี 2484 พระกริ่งพุทธนิมิตร สร้างปี 2484 พระกริ่งปี 2485 เป็นพิมพ์เดียวกับปี 2483 เพียงแต่สีเนื้อต่างกัน พระกริ่งเชียงตุง สร้างขึ้นเมื่อปี 2486 ซึ่งเป็นรุ่นสุดท้ายสร้างเป็นจำนวน 108 องค์

"พระกริ่งหน้าอินเดีย"
เป็นพระเครื่องอีกรุ่นหนึ่งของสายสำนักวัดสุทัศน์ ที่ผู้คนในวงการให้ความนิยมมิใช่น้อย ส่วนประวัติการสร้างเมื่อปี 2482 คณะบรรดาลูกศิษย์ที่เลื่อมใสสมเด็จพระสังฆราช (แพ) ซึ่งประกอบไปด้วย พระอาจารย์แสง วัดสระเกศฯ พระชัยปัญญา อธิบดีศาลอาญา พระราชอากร อธิบดีกรมสรรพากร ได้ร่วมกันนำความกราบทูลขออนุญาตในการจัดสร้าง เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจแก่ประชาชน เพราะในขณะนั้นมีแนวโน้มว่าจะเกิดสงคราม ซึ่งต่อมาปี 2483 ประเทศไทยประกาศสงครามอินโดจีน

สมเด็จพระสังฆราช (แพ) ทรงเมตตาอนุญาตและรับสั่งให้พระศรีสัจจญาณมุนี (สนธิ์) ลูกศิษย์เอก เป็นแม่งานในการดำเนินการจัดสร้าง ซึ่งจำนวนการสร้างพระกริ่งในกาลนั้น พระกริ่งหน้าอินเดีย พิมพ์หน้าใหญ่ และพิมพ์หน้าเล็ก สร้างจำนวนประมาณ 4,000 องค์ พระกริ่งนะโภคทรัพย์ จำนวนประมาณ 400 องค์ เนื้อโลหะออกวรรณะเหลืองอมขาว การสร้างพระกริ่งในครั้งนั้นเป็นการสร้างพระจำนวนมาก จึงใช้ทองล่ำอู่เป็นตัวยืน ประกอบด้วยแผ่นยันต์ 108 และนะ 14 นะ รวมกับเงินพดด้วงตรายันต์และตราราชวัตรองค์ละ 1 เม็ด (หนักหนึ่งบาท)

เมื่องานพิธีเททองเสร็จแล้วช่างก็นำพระกริ่งมาบรรจุเม็ดกริ่งและอุดช่องเม็ด กริ่ง เจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านทรงเห็นว่าทุกคนมีความเหน็ดเหนื่อยและเสียสละ จึงรับสั่งให้ท่านเจ้าคุณศรีฯ (สนธิ์) นำทองชนวนที่เหลือเป็นจำนวนมากมาสร้างพระกริ่งเพื่อประทานเป็นรางวัลให้แก่ ผู้ที่มาช่วยงาน ท่านเจ้าคุณศรีฯ ท่านจึงทูลขออนุญาตจัดสร้างพระกริ่งในวันงานพระชนม์ของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ซึ่งตรงกับวันที่ 26 พฤศจิกายน 2482 จำนวนสร้าง 500 องค์ พร้อมด้วยพระชัยวัฒน์ขนาดเล็กอีกเป็นจำนวนมาก

เนื่องจากการสร้างพระชัยวัฒน์ครั้งนี้มีจำนวนมาก ท่านเจ้าคุณศรีฯ จึงแบ่งงานออกเป็นสองกลุ่ม โดยพระกริ่งหน้าไทย และพระชัยวัฒน์พิมพ์น้ำเต้าเอียง และพิมพ์น้ำเต้าตรงประมาณ 2,000 องค์ นายช่างหรัส พัฒนากูร เป็นผู้หล่อ ส่วนพระชัยวัฒน์พิมพ์ค่อนข้างสูงกว่าพิมพ์น้ำเต้าตรงเล็กน้อย นายช่างประสาร ศรีไทย เป็นผู้หล่อ ปรากฏว่าพระชัยวัฒน์พิมพ์ที่นายช่างประสารหล่อชำรุดเสียหาย จนแทบจะหาเป็นแบบไม่ได้เลย

ท่านเจ้าคุณศรีฯ ท่านจึงได้ให้นำพระชัยวัฒน์ที่ชำรุดมาทำแม่พิมพ์ใหม่และใช้การปั๊มซ้ำลงไป แต่ก็เกิดการแตกไม่ติดเป็นองค์พระ จึงต้องนำพระทั้งหมดไปหลอมใหม่ และผสมทองแดงเพิ่มลงไปเพื่อให้เกิดความเหนียว และนำมาปั๊มใหม่ เกิดเป็นสองพิมพ์คือ พิมพ์ป้อมและพิมพ์ยืด จำนวน 1,500 องค์

พระกริ่ง-พระชัยวัฒน์ (5) ยอดนิยมนักสะสมชื่นชอบ

คอลัมน์ มุมพระเก่า
อภิญญา


พระกริ่งอีกรุ่นที่น่าสนใจมิใช่น้อย "พระกริ่งบดินทร์เดชา" วัดชัยชนะสงคราม กรุงเทพฯ วัดชัยชนะสงคราม หรือที่เรียกกันสามัญว่า "วัดตึก" ตั้งอยู่ที่เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ ลักษณะพื้นที่ของเขตวัด เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีเนื้อที่ทั้งหมด 7 ไร่ 1 งาน 92 ตารางวา มีอาณา เขต ทิศตะวันออก ติดกับถนนมหาจักร (คลองถม) ทิศตะวันตก ติดกับตึกแถวของ พล.ต.อ.พระพินิจชนคดี กับของเจ้าจอมเอี่ยม ถนนจักรวรรดิ ทิศเหนือ ติดกับบริษัทดีทแฮล์ม และตึกบ้านพระนานาพิธภาษีถนนเจริญกรุง ทิศใต้ ติดกับตึกแถวของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีในรัชกาลที่ 6 ถนนเยาวราช

"วัดตึก" เป็นวัดที่สร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ ครั้งรัชกาลที่ 3 ที่ตั้งเดิมเป็นบ้านของเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) สมุห์นายกและแม่ทัพใหญ่ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากที่ท่านเป็นแม่ทัพไปรบญวนและเขมรกลับมาแล้ว ท่านเกิดศรัทธาแรงกล้าประสงค์ที่จะทำนุบำรุงพระศาสนาให้เจริญสถาพรสืบไป จึงยกบ้านของท่านถวายเป็นวัด โดยสร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ กุฏิสงฆ์เพิ่มเติมจนบริบูรณ์ แล้วถวาย นามว่า "วัดชัยชนะสงคราม" เพื่อเป็นอนุสรณ์ในการศึกครั้งนั้น ด้วยเหตุที่เรือน (บ้าน) ของท่านเดิมเป็นอาคารตึก ชาวบ้านทั่วไปจึงพากันเรียกติดปากว่า "วัดตึก" มาจนทุกวันนี้ หลังจากนั้นท่านก็ได้อุปถัมภ์บำรุงวัดเรื่อยมาจนถึงแก่อสัญกรรม และผู้สืบสกุลก็รับช่วงต่อมาจนปัจจุบัน


วัดชัยชนะสงคราม มีฐานะเป็นวัดราษฎร์อยู่จนถึงปี 2521 ก็ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกเป็นพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดสามัญ เจ้าอาวาสรูปแรกคือหลวงพ่อฉิม เป็นชาวกรุงเทพฯ เล่าเรียนพระไตรปิฎกตั้งแต่อายุได้ 11 ขวบ อุปสมบทเมื่ออายุ 20 ปี ท่านเล่าเรียนทั้งพระสูตร พระวินัยจนแตกฉาน คนทั้งหลายเรียกท่านว่า "ขรัวฉิมสว่างโลก" บ้าง หรือ "ขรัวฉิมเทวดา" บ้าง ที่ได้ชื่อเช่นนี้เพราะท่านมีความรู้แตกฉานในพระธรรม ตั้งมั่นอยู่ในศีลและพรหมวิหารธรรม


ส่วนที่ได้ชื่อว่า "ขรัวฉิมเทวดา" นั้น มีเรื่องเล่ากันว่า ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีมหาดเล็กผู้หนึ่งป่วยด้วยโรคฝีในท้อง และมีผู้อาราธนาให้ท่านไปรักษา เพราะกิตติศัพท์เล่าลือกันว่าท่านมีอาคมขลัง และสามารถรักษาโรคฝีในท้องได้ พอไปถึงท่านก็ให้มหาดเล็กนั้นนอนหงายบนใบตอง แล้วท่านใช้มีดหมอจิ้มที่หน้าอกผู้ป่วย พร้อมกับเทน้ำมันลงที่ปลายมีด น้ำมันไหลลงไปที่หน้าอก หมดน้ำมันไปสองขวดก็ให้ผู้ป่วยนอนพัก สักพักผู้ป่วยก็ถ่ายอุจจาระมีแต่เลือดและน้ำหนอง หลวงพ่อก็บอกว่าอีก 7 วันหาย พอครบกำหนดโรคก็หายจริงๆ

ปี 2502 ที่วัดชัยชนะสงคราม ได้สร้าง "พระกริ่งบดินทร์" ขึ้น เนื่องจากทางวัดได้ก่อสร้างขยายพระอุโบสถเดิมและได้จัดหล่อพระประธานขึ้น ใหม่ เมื่อวันที่ 11-14 ธันวาคม 2502 และได้ถวายพระนามว่า "พระพุทธชัยสิงห์มุนินทร์ธรรม บดินทรโลกนาถ เทวนรชาติภิปูชนีย์"

ในคราวนี้คณะกรรมการได้จัดสร้างวัตถุมงคลเป็นแบบพระกริ่งขึ้นเรียกว่า "พระกริ่งบดินทร์" เพื่อสมนาคุณแก่ผู้บริจาคทรัพย์ ให้ผู้มีจิตศรัทธาเช่าบูชาจำนวนประมาณ 2,000 องค์ มีพิมพ์ฐานสูงและฐานเตี้ย โดยมีพระคณาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณร่วมปลุกเสกในครั้งนี้มากมาย เช่น (สมณศักดิ์ในครั้งนั้น) สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ อยู่วัดสระเกศฯ พระธรรมวโรดม (ปุ่น) วัดพระเชตุพนฯ พระ เทพสิทธินายก (นาค) วัดระฆังฯ พระครูทักษิณานุกิจ (เงิน) วัดดอนยายหอม พระครูเวทย์มุนี (เมี้ยน) วัดพระเชตุพนฯ พระครูวินัยธร (เฟื่อง) วัดสัมพันธวงศ์ พระปลัดเส่ง วัดกัลยาณมิตร พระอาจารย์ผ่อง วัดจักรวรรดิราชาวาส พ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน เป็นต้น

หลังประกอบพิธีเสร็จ ทางวัดก็นำมาให้ผู้มีจิตศรัทธาทำบุญ ในงานฝังลูกนิมิต เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2503 ในอัตราทำบุญองค์ละ 10 บาท

พุทธคุณพระกริ่งบดินทร์ว่ากันว่า ดีทางแคล้วคลาดปกป้องคุ้มครองและเมตตามหานิยม

อีกหนึ่งวัตถุมงคลแนวพระกริ่งที่น่าสะสม!!!

พระกริ่ง-พระชัยวัฒน์(10) ยอดนิยมนักสะสมชื่นชอบ